ถ้าพูดถึงการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในยุคที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดียแล้วล่ะก็ เราคงจะได้ยินแต่คำชื่นชมที่บอกว่า ดีมาก !! ยอดเยี่ยม !! หรือถ้ามีใครสักคนไม่เห็นด้วยก็คงทำได้แอบคัดค้านในมุมเล็ก ๆ ของตัวเอง แต่ปัจจุบัน ยุคที่ทุกคนสามารถแสดงความเห็นของออกสู่สังคมแค่ใช้นิ้วจิ้ม ๆ บนมือถือ ทุกคนสามารถตั้งคำถามและจุดประเด็นขึ้นมาได้ การทำกิจกรรมเพื่อสังคมก็เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น

.

ยกตัวอย่างกิจกรรมเพื่อสังคมระดับประเทศที่ผ่านมาอย่างโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ที่มีจุดเริ่มต้นจากคุณตูน นักร้องนำวง Bodyslam มีความตั้งใจที่จะวิ่งจากยะลาไปแม่สายเหนือสุดของประเทศ ระยะทางมากกว่า 2,200 กิโลเมตร เพื่อระดมเงินบริจาคช่วยเหลือ 11 โรงพยาบาล แม้ในช่วงเวลานั้น โครงการจะถูกชื่นชมเป็นอย่างมาก แต่ภายหลังก็เกิดการตั้งคำถามจากสังคมว่า แก้ปัญหาถูกจุดหรือไม่ ? ทำไมถึงไม่ผลักดันให้รัฐเป็นคนจัดการ ? เพราะนี่เป็นหน้าที่ของรัฐบาล หรือโครงการที่เพิ่งจบไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาอย่าง “หนึ่งคนว่ายหลายคนให้” ของดารานักร้องอย่าง “โตโน่ ภาคิน” ที่ได้ว่ายข้ามแม่น้ำโขงเป็นระยะทาง 15 กิโลเมตรและระดมเงินได้มากถึง 63 ล้านบาท แม้กิจกรรมจะสำเร็จผ่านไปได้ด้วยดี แต่ช่วงก่อนการจัดกิจกรรม ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะมีเจ้าหน้าที่ที่ต้องตามไปช่วยเหลือทั้งด้านความปลอดภัยไปจนถึงหน่วยงานอำนวยความสะดวกรวมทั้งหมด 33 รายการ ทั้งหน่วยงานแพทย์ ทีมกู้ภัย เรือลำใหญ่ขนาด 60 ที่นั่ง ประชาชนก็ต่างถามว่า งบประมาณนี้ส่วนนี้นำมาจากภาษีประชาชนหรือไม่ ? มันคุ้มค่าไหมกับการจัดกิจกรรมเพื่อการกุศลแต่ต้องลงทุนมากขนาดนี้ ?

.

ส่วนในภาคเอกชนโครงการ CSR หรือกิจกรรมเพื่อสังคมก็กำลังเป็นกระแสในช่วงสิบปีที่ผ่านมา หลายบริษัทต่างหันมาทำ CSR เพื่อแสดงจุดยืนว่า พวกเขาเองก็มีความรับผิดชอบต่อสังคมนะ แต่ก็ถูกตั้งคำถามว่าเป็น SDG washing หรือการสร้างภาพลักษณ์จากการตลาดโดยไม่ได้คำนึงถึงสังคมจริง ๆ หรือไม่ ? สุดท้ายทรัพยากรก็อาจสูญเสียไปกับการทำกิจกรรมอย่างฉาบฉวย ไม่เกิดความคุ้มค่า

.

ตัวอย่างที่ยกมาทำให้เห็นว่า ทุก ๆ ก้าวที่ขยับมีประชาชนที่คอยตรวจสอบและตั้งถามอยู่เสมอ ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่สำคัญคือ จะทำเพื่อสังคมอย่างไรให้เกิดความคุ้มค่า ? ดังนั้นหากองค์กรอยากจะเริ่มต้นนโยบายการทำเพื่อสังคมที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าควรเริ่มอย่างไรดี ?

.

รู้จักกับ Green HR อีกรูปแบบหนึ่งของ HR ที่ไม่ใช่แค่การบริหารทรัพยากรบุคคลแต่ยังช่วยผลักดันเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมให้กับสังคม วัตถุประสงค์หลักของคือการให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ และค่อย ๆ ขยายไปสู่แนวคิดเรื่องการใช้ทรัพยากรพลังงานขององค์กรให้น้อยลง เช่น ลดการการใช้รถ ลดปริมาณกระดาษไปจนถึงการเลิกใช้ หลีกเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED เป็นต้น

.

โดย Green HR จะมีกลยุทธ์สามขั้นตอนได้แก่

1. สร้างวัฒนธรรมและปลูกจิตสำนึกให้กับคนในองค์กรให้หันมาใส่ใจต่อสังคมมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม

2. ให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม พยายามสร้างช่องทางให้คนในองค์กรมีส่วนร่วมกับนโยบาย

3. วัดผลงานและให้รางวัล ส่วนใหญ่แล้วหลายบริษัทมักจะทำไม่ครบขั้นตอน หรือลัดขั้นตอนบ้าง ซึ่งจริง ๆ แล้วการปฏิบัติที่ถูกควรทำตามขั้นตอนและครบวงจรเพื่อให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง

.

จะเห็นได้ว่าการทำงานของ Green HR เน้นไปที่การบริหารทรัพยากรอย่างคุ้มค่าซึ่งสอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance) ในหลักความคุ้มค่า (Good Value) ที่ปัจจุบันหลายองค์กรในภาครัฐและเอกชนหันมาเลือกใช้ การดำเนินนโยบายบริษัทโดยใช้หลักการนี้จะช่วยให้การจัดสรรทรัพยากรในองค์กรถูกใช้อย่างคุ้มค่า เช่นการเบิกงบประมาณโครงการ เงินเดือนค่าสวัสดิการ ค่าอุปกรณ์ในออฟฟิศจะถูกใช้อย่างถูกที่ถูกจุด มีการประเมินว่าคุ้มค่ากับงบประมาณที่เสียไปหรือไม่ ซึ่งนำมาใช้ร่วมกับ Green HR ก็จะช่วยส่งเสริมกัน บริษัทเองก็สามารถลดงบประมาณและยังสามารถสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย

---

อ้างอิง :

- เปิด 33 รายการ เตรียมงานการกุศล #โตโน่ ว่ายน้ำข้ามฝั่งโขง

https://www.prachachat.net/general/news-1088858

- เมื่อประชาชนถูกฟอกด้านความยั่งยืน จากกับดักการตลาดฉาบฉวย

https://www.naewna.com/anticorruption/columnist/52761

- บัญญัติ 8 ประการ Green HR สร้างองค์กรให้ยั่งยืน

https://www.prosofthcm.com/Article/Detail/15987

- Green Human Resources Management – Meaning and Definition

https://youmatter.world/.../green-human-resources.../