ศูนย์ความรู้ต่อต้านคอร์รัปชันแห่งใหม่ กับการทำงาน 4 กลไก และความร่วมมือ 3 ระดับ
29.05.2023
สรุปประเด็น
ศูนย์กลางการต่อต้านคอร์รัปชันผ่านการบริหารองค์ความรู้ งานวิจัย และพัฒนาขยายเครือข่ายไปสู่ระดับนานาชาติ โดยมีกลไกการทำงาน ทั้งหมด 4 ด้านคือ การเป็นศูนย์กลางความรู้ (Knowledge) ด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน การเป็นศูนย์กลางเครือข่าย (Network) ที่จะพัฒนาและขยายเครือข่ายการต่อต้านคอร์รัปชันที่เป็น รูปธรรมสู่ระดับนานาชาติ การเป็นศูนย์กลางความร่วมมือ (Join) ที่จะพัฒนาระบบสนับสนุนและส่งเสริมการต่อยอดองค์ความรู้ให้ทางผู้ปูฏิบัติงานในระดับพื้นที่ชุมชน และสังคม และการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ (Learn) ที่จะมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพการ ต่อต้านคอร์รัปชันด้วยการให้บริการกิจกรรมทางวิชาการและเผยแพร่องค์ความรู้สู่สังคม และกลไกทั้ง 4 จะนำมาซึ่งเครือข่าย 3 ระดับความร่วมมือการทำงานต่อต้านคอร์รัปชันในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ 1. เครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์ความรู้ (Knowledge) และการลงมือปฏิบัติจริง (Action) 2. เครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน (Anti-corruption experts) และประชาชนที่เป็นบุคคลทั่วไป (Ordinary people) 3. เครือข่ายความร่วมมือในระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นทั้งในระดับประเทศภูมิภาคและนานาชาติ
คอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ที่มีความซับซ้อนสูงและมีการปรับรูปแบบอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันจึงต้องอาศัยกลยุทธ์ที่แยบยลและครอบคลุมในทุกๆ มิติของผลกระทบจากคอร์รัปชัน มิเช่นนั้น ผลกระทบของบางมาตรการอาจจะน้อยมาก หรือแย่กว่านั้นคือ นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแถมยังไปสร้างปัญหาอื่นเพิ่มเติมอีก ดังที่เราเคยเห็นจากแคมเปญต้านโกงในอดีต ที่ถูกต่อว่าอย่างมากในสังคมโซเชี่ยล
วิธีการหนึ่งที่จะช่วยทำให้นโยบายและมาตรการต่อต้านคอร์รัปชันมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นคือการนำความรู้ทางวิชาการมาช่วย ทั้งจากงานศึกษาวิจัยที่ผ่านมา การทดลองทางวิชาการใหม่ๆ เพื่อทดสอบมาตรการก่อนนำไปใช้จริง หรือการออกแบบนโยบายบนพื้นฐานทฤษฎีของศาสตร์ต่างๆ
ด้วยเหตุนี้ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ จึงได้ร่วมมือกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ในการจัดตั้ง “ศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค” (Knowledge hub for Regional Anti-corruption and good governance Collaboration: KRAC) เพื่อเป็นศูนย์กลางความรู้ด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน และการบริหารจัดการองค์ความรู้ งานวิจัย ผลงานทางวิชาการ เครื่องมือ และสื่อให้ความรู้เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาขยายเครือข่ายการต่อต้านคอร์รัปชันของประเทศไทยกับนานาชาติที่เป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับแนวทางการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการพัฒนาระบบสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพการต่อต้านคอร์รัปชันที่จะนำองค์ความรู้นวัตกรรม ผลงานทางวิชาการ และเครื่องมือต่างๆที่เกิดขึ้นในศูนย์ฯ มาใช้ให้ประโยชน์สูงสุดในทางปฏิบัติ
ศูนย์ KRAC นี้ มีกลไกการดำเนินงานที่สำคัญ 4 ด้าน เพื่อสร้างระบบนิเวศของการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพ ผ่านการพัฒนาศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค โดย
ทั้งนี้ ศูนย์ KRAC ได้จัดงานเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา โดยได้เชิญ Professor Matthew C. Stephenson ศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์ ประจำ Harvard Law School, Harvard University ที่ขณะนี้เป็น visiting scholar อยู่ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ มาแสดงปาฐกถาในหัวข้อ “Opportunities and Challenge for Thailand to create a Center for Excellence in Anti-Corruption Research” อาจารย์กล่าวถึงความสำคัญกลไกในการดำเนินงานของศูนย์ฯ ที่จะก่อให้เกิดเครือข่าย 3 ระดับของความร่วมมือในการทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันที่จะเกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียน
เครือข่ายที่หนึ่ง คือ เครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์ความรู้ (Knowledge) และการลงมือปฏิบัติจริง (Action) เนื่องจากปัญหาคอร์รัปชันถือเป็นปัญหาที่มีความยุ่งยากและซับซ้อนในรายละเอียด รวมถึงมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางสังคมและเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ซึ่งหากมีการทำงานในลักษณะที่ปราศจากความเชื่อมโยงกัน หรือหากมีเพียงแค่องค์ความรู้หรือการลงมือปฏิบัติจริงเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งในการทำงาน ก็อาจทำให้การทำงานต่อต้านคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่ยากหรือทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ ดังนั้น การมีสถาบันที่เข้ามาทำหน้าที่ช่วยในการประสานการทำงานของผู้ปฏิบัติงานจริงในแต่ละหน่วยงานเข้ากับองค์ความรู้ที่ถูกผลิตและศึกษาโดยนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ จะเป็นการช่วยส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้าในการทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ได้ทั้งจากการศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องและการทำงานในเชิงสัมพัทธ์ระหว่างหน่วยงานที่มีความเชื่อมโยงกัน
ซึ่งจะเชื่อมต่อไปยัง เครือข่ายที่สอง คือ เครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน (Anti-corruption experts) และประชาชนที่เป็นบุคคลทั่วไป (Ordinary people) โดยที่ผู้เชี่ยวชาญจะมีบทบาทสำคัญในฐานะของการเป็นผู้รวบรวมและพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการต่อต้านคอร์รัปชันให้มารวมอยู่กันในพื้นที่เดียวกัน และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจและตระหนักถึงเรื่องของการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน สามารถเข้าถึงข้อมูลความรู้ที่จำเป็นได้อย่างโปร่งใสโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และในขณะเดียวกันประชาชนที่เป็นบุคคลทั่วไปก็สามารถที่จะทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการรายงานปัญหาที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชันที่ได้พบเห็นในชีวิตประจำวันให้กับผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิจัยที่มีความสนใจที่จะศึกษาปัญหาคอร์รัปชันในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คน เพื่อที่จะนำประสบการณ์ของแต่ละปัจเจกบุคคลมาใช้ในการพัฒนาองค์ความรู้และคิดค้นเครื่องมือหรือนวัตกรรมสำหรับการต่อต้านคอร์รัปชันต่อไป
และจะขยายผลไปสู่ เครือข่ายที่สาม คือ เครือข่ายความร่วมมือในระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และนานาชาติ เนื่องจากในปัจจุบันทุกประเทศทั่วโลกล้วนแล้วแต่ประสบปัญหาเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน และในทุกพื้นที่ก็จะมีรูปแบบลักษณะของปัญหาการคอร์รัปชันที่แตกต่างกันไปตามบริบททางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การออกแบบเครื่องมือหรือวิธีการที่จะใช้ในการแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชัน จึงไม่สามารถทำในลักษณะที่เป็นวิธีการเดียวสามารถแก้ปัญหาทั้งหมด (One size fits all) ได้ และจำเป็นต้องศึกษาถึงบริบทที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ที่มีปัญหาการคอร์รัปชัน ซึ่งการก่อตั้งศูนย์ฯ จะถือเป็นโอกาสสำคัญในการที่ศูนย์ฯ จะทำให้เกิดความร่วมมือกันในการพัฒนาเครื่องมือและเทคนิคที่เหมาะสมสำหรับการต่อต้านการคอร์รัปชันในแต่ละพื้นที่ รวมไปถึงการสร้างความรู้สึกร่วมของการสนับสนุน (Sense of support) ในการต่อต้านคอร์รัปชันให้กับหน่วยงานภาคีในเครือข่ายที่เดิมทีอาจจะเห็นว่าการแก้ปัญหาคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่ยากและเป็นไปไม่ได้ ให้เปลี่ยนเป็นความรู้สึกว่าที่ว่าภารกิจในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันที่แต่ละหน่วยงานกำลังดำเนินงานอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง
ท้ายที่สุดแล้ว ในกระบวนการของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้ง 3 ระดับ ที่จะเกิดขึ้นจากการก่อตั้งศูนย์ฯ นี้ จะต้องเป็นการทำงานในลักษณะที่เป็นการทำอย่างยาวนานและต่อเนื่อง โดยทุกคนในสังคมที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้ และมีความตั้งใจและความพยายามในการทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน รวมถึงเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานในการฝึกฝนและเรียนรู้ เพื่อที่จะเป็นกำลังสำคัญทั้งในด้านการลงมือปฏิบัติงานและการต่อยอดองค์ความรู้ที่จะช่วยเสริมศักยภาพในการทำงานเกี่ยวกับการต่อต้านคอร์รัปชัน และการส่งเสริมธรรมาภิบาลต่อไปในอนาคต
ศูนย์ KRAC จะเป็นอีกหนึ่งในฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่ขับเคลื่อนการต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นผ่านกลไกการทำงานตามที่ได้อธิบายไปข้างต้นแล้ว จึงขอเชิญชวนท่านผู้อ่านติดตามผลงานและการทำงานของศูนย์ฯ ได้จาก facebook ของ HAND Social Enterprise ได้เลยนะครับ
Author
Torplus Yomnak
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน มือสมัครเล่นพ่อลูกอ่อน และยังมีความหวังกับอนาคตสังคมไทยที่โปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลและการมีส่วนร่วมของประชาชน