ความหวังกับนโยบายต้านโกงใหม่ ที่คงยังไม่ได้เห็นจริง

02.08.2023

สรุปประเด็น

เป็นเวลา 2 เดือนครึ่งแล้ว หลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค. จนถึงวันนี้ที่เรายังไม่ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ แม้ก้าวไกลจะเป็นพรรคที่ได้คะแนนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันโอกาสที่พรรคก้าวไกลได้จัดตั้งรัฐบาลก็ค่อย ๆ ริบหรี่ลง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายเพราะก้าวไกลก็เป็นอีกหนึ่งพรรคที่แสดงความตั้งใจอยากจะแก้ปัญหาคอร์รัปชันเช่นกัน


โดยหลังการเลือกตั้ง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์และ สส. ก้าวไกลเคยได้ร่วมพูดคุยกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เพื่อนำเสนอ 4 แนวทางแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันบนพื้นฐานของสมการ C = D + M – A หรือ คอร์รัปชัน = อำนาจดุลยพินิจ + การผูกขาด – กลไกความรับผิดรับชอบ ของ Professor Robert Klitgaard


เพื่อสร้างนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันที่ครอบคลุมผ่านการสร้าง “ระบบดี” ให้ “คนดี” มีที่ยืน ประกอบด้วย ระบบที่ไม่มีใครอยากโกง ระบบที่ไม่มีใครกล้าโกง ระบบที่ไม่มีใครโกงได้ และระบบที่ไม่มีใครโกงแล้วรอด

ผ่านวันเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค. มาเกือบ 2 เดือนครึ่งแล้ว จนถึงวันนี้เราก็ยังไม่ทราบว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นใคร และรัฐบาลใหม่หน้าตาเป็นแบบไหน ได้ยินแต่การคาดเดาสูตรรัฐบาลผสมจากพรรคการเมืองต่างๆ ของนักวิเคราะห์การเมืองและสำนักข่าวที่แตกต่างกันออกไป


ย้อนกลับไปช่วงหลังการเลือกตั้งใหม่ๆ ตัวแทนของพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้ง สส. จำนวนสูงสุด ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้เดินสายไปพูดคุยหารือกับองค์กรด้านต่างๆ ที่น่าจะต้องได้คุยและทำงานร่วมกับรัฐบาลต่อไป โดยหนึ่งในองค์กรที่พรรคก้าวไกลได้มาพูดคุยด้วยคือ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ซึ่งในการพูดคุยวันนั้น เป็นการหารือเรื่องแนวทางและข้อเสนอความร่วมมือในด้านการต่อต้านคอร์รัปชันเท่านั้น ไม่ได้คุยเรื่องสถานการณ์การเมืองเลย บทความตอนนี้จึงจะขอถ่ายทอดและอภิปรายแนวทางและข้อเสนอเหล่านั้น โดยไม่นำสถานการณ์ทางการเมืองมาวิเคราะห์ร่วมด้วยเช่นกัน


ในวันนั้น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลนำทีมว่าที่ สส. ของพรรคหลายคน เช่น ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ และรังสิมันต์ โรม โดยพิธาได้เริ่มต้นด้วยการนำเสนอหลักการในการออกแบบนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันที่พรรคนำเสนอต่อประชาชน นั่นคือ สมการคอร์รัปชัน ของ Professor Robert Klitgaard ที่บอกว่า C = D + M – A หรือ คอร์รัปชัน = อำนาจดุลยพินิจ + การผูกขาด - กลไกความรับผิดรับชอบ ซึ่งอธิบายได้ว่า หากต้องการลดคอร์รัปชัน จะสร้างกลไกเพื่อลดการใช้อำนาจดุลยพินิจของข้าราชการและนักการเมือง ลดอำนาจผูกขาดทั้งทางการเมืองและธุรกิจ และต้องสร้างกลไกความรับผิดรับชอบของผู้มีอำนาจรัฐให้มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ทั้งนี้ พิธา ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า เขาเข้าใจว่าสมการนี้ยังมีข้อบกพร่องที่มองคอร์รัปชันอย่างง่ายๆ เกินไป เพราะในความจริงปัญหานี้ซับซ้อนกว่าที่จะอธิบายได้ด้วยสมการนี้มาก


บนพื้นฐานของสมการนี้ พรรคก้าวไกล จึงออกแบบนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันอย่างครอบคลุมผ่านการสร้าง “ระบบดี” เพื่อให้ “คนดี” มีที่ยืนและสามารถก้าวหน้าได้ ด้วย 4 แนวทาง ได้แก่ ระบบที่ไม่มีใครอยากโกง ระบบที่ไม่มีใครกล้าโกง ระบบที่ไม่มีใครโกงได้ และระบบที่ไม่มีใครโกงแล้วรอด


เริ่มต้นด้วยระบบที่ไม่มีใครอยากโกง เพราะหาโอกาสโกงยากขึ้น ด้วยการยกเลิกใบอนุญาตอย่างน้อย 50% และยกเลิกทุกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ ด้วยกระบวนการ Regulatory Guillotine ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก เช่น เกาหลีใต้ นอกจากนี้ยังจะทำให้การร้องเรียนไม่เงียบและมีอัปเดตทุกขั้นตอน มีช่องทางกลางเพื่อติดตามสถานะเรื่องร้องเรียนและสุดท้ายกำหนดให้รู้ผลใบอนุญาตใน 15 วัน หากพิจารณาไม่ทันกรอบเวลา ให้ถือว่าอนุญาตโดยอัตโนมัติไปเลย เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ดึงเรื่องเพื่อเรียกร้องสินบน


ต่อมาระบบที่ไม่มีใครกล้าโกง เพราะทุกที่โปร่งใสไปหมด ด้วยการสร้างรัฐเปิดเผย (Open Government) เปิดข้อมูลรัฐทันที ให้ประชาชนเป็นเจ้าของ ภายใต้หลักการเปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น และต้องเปิดข้อมูลในรูปแบบที่นำไปวิเคราะห์ต่อได้ ไม่ใช่เปิดเป็นรูปภาพ JPEG หรือ PDF สร้างรัฐสภาเปิด (Open Parliament) เช่น ถ่ายทอดสดกรรมาธิการ และ การสร้างรัฐบาลที่มีแนวปฏิบัติเป็นตัวอย่างที่ดี เช่น ห้ามใช้เงินหลวงโปรโมทตัวเองโดยสามารถใช้งบประชาสัมพันธ์ในการโฆษณาผลงานของหน่วยงานได้เท่านั้น ไม่ทนกับคนภายในคณะรัฐมนตรีและพรรคการเมือง และตัดความสัมพันธ์กับทุนใหญ่-ผู้มีอิทธิพลทางการเมือง


แนวทางที่ 3 คือระบบที่ไม่มีใครโกงได้ ด้วยการอำนวยความสะดวกประชาชน พัฒนาให้ทุกบริการภาครัฐสามารถทำได้ผ่านมือถือ ลดโอกาสการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ และลดการพบกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน ซึ่งเป็นโอกาสที่เจ้าหน้าที่รัฐจะเรียกสินบนหรือประชาชนอาจจะเสนอสินบนให้ได้รับบริการพิเศษ


สุดท้ายคือ ระบบที่ไม่มีใครโกงแล้วรอด ด้วยการยกระดับกลไกการตรวจสอบ

โดยใช้ระบบ AI จับโกง โดยใช้ต้นแบบจาก ACTAi ของ ACT เพื่อแจ้งเตือนการทุจริตแบบอัตโนมัติ เพิ่มให้ประชาชนร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์อิสระในโครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เพื่อตรวจสอบโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐที่มีมูลค่าสูง ดึงให้ ป.ป.ช. ยึดโยงกับประชาชนเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การต้านโกงสำเร็จในหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น ฮ่องกง และ สิงคโปร์ โดยกำหนดให้กรรมการ ป.ป.ช. มีที่มาหลากหลายและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย รวมถึงกำหนดให้ประชาชนสามารถเข้าชื่อริเริ่มกระบวนการถอดถอนได้ด้วย และที่จะสร้างผลกระทบใหญ่ได้คือการปฏิรูปตำรวจ ที่มีความพยายามกันมาหลายครั้งในหลายรัฐบาลแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จเสียที


นอกจากนี้ ยังต้องสร้างสังคมต้านโกง ด้วยโครงการ “คนโกงวงแตก” เพื่อจูงใจให้คนที่คิดจะโกงระแวงกันเองและคุ้มครองคนที่ออกมาแฉก่อน คล้ายกับกฎหมายที่ใช้ได้ผลมากในประเทศอังกฤษและอเมริกา และโครงการ “แฉโกง ปลอดภัย ได้เงิน” เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่เปิดโปงการทุจริต และเพิ่มรางวัลให้กับประชาชนที่ชี้เบาะแส


น่าสนใจอย่างยิ่งว่า นโยบายเหล่านี้อยู่บนพื้นฐานความเข้าใจปัญหาคอร์รัปชันอย่างลึกซึ้งและครอบคลุม สามารถนำหลักวิชาการมาเป็นแนวทางในการออกแบบกลไกที่น่าจะมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพในสังคมไทยได้โดยเฉพาะความเข้าใจในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน ที่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน


แต่น่าเสียดายที่คงจะได้เพียงแต่ฟังนโยบายที่น่าตื่นเต้นและดูมีความหวังเท่านั้น แต่ไม่มีโอกาสได้เห็นจริงในเร็ววันนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ประชาชนอย่างเรายังคงทำได้คือส่งเสียงแห่งความหวังว่าผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาลคงจะไม่ใช่คนที่มีประวัติเกี่ยวกับการคอร์รัปชันอย่างชัดเจนมาก่อน และหวังว่าผู้นั้นจะมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นต้นตอแห่งอุปสรรคของการพัฒนาประเทศในทุก ๆ ด้านครับ


------------------------


บทความต่อต้านคอร์รัปชัน หนังสือพิมพ์แนวหน้า ตอน ความหวังกับนโยบายต้านโกงใหม่ ที่คงยังไม่ได้เห็นจริง



SHARE:

Author

Torplus Yomnak

นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน มือสมัครเล่นพ่อลูกอ่อน และยังมีความหวังกับอนาคตสังคมไทยที่โปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลและการมีส่วนร่วมของประชาชน