ทั้งโกง ทั้งกิน แล้วชาติจะอยู่ได้หรือ

01.03.2023

สรุปประเด็น

“ประเทศไทยอาจสิ้นชาติ” ถอดบทเรียนจากเรื่องเล่าของเหงียน เกา กี อดีตนายกรัฐมนตรีของเวียดนามใต้ที่ประเทศล่มสลายเพราะการคอร์รัปชัน สอดคล้องกับประเทศไทยตอนนี้ที่การโกงกระจายไปหลายหน่วยงาน หลายสาขาอาชีพ ไม่ใช่แค่ในองค์กรใหญ่ ๆ

.

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ คุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเองก็ได้บอกไว้ว่า “เมืองไทยต้องการธรรมาภิบาลมากกว่าประชาธิปไตย” สะท้อนความหมดหวัง ที่การเลือกตั้งกลายเป็นทางผ่านให้ผู้มีอำนาจเข้ามาโกงกิน เกิดเป็นประชาธิปไตยที่ไร้ธรรมาภิบาล และดูเหมือนครั้งนี้จะเป็นคำพูดที่ดูรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่าน ๆ มา

.

ทำให้สงสัยว่าครั้งที่ผ่านมานั้นรุนแรงแค่ไหน ? เมืองไทยต้องการธรรมาภิบาลมากกว่าประชาธิปไตยจริงหรือไม่ ? ชวนหาคำตอบไปด้วยกันกับบทความแนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน ตอน “ทั้งโกง ทั้งกิน แล้วชาติจะอยู่ได้หรือ”

เริ่มต้นจากขออธิบายที่มาของชื่อหัวข้อบทความตอนนี้ โดยเอาคำอยู่หน้าปกหนังสือ “สิ้นชาติ บันทึกของอดีตนายกรัฐมนตรีเหงียน เกา กี” ที่พิมพ์ออกมาเมื่อ 23 ปีมาแล้ว เพื่ออธิบายว่าทำไมเวียดนามใต้จึง “สิ้นชาติ” มาใช้กับสถานการณ์ในประเทศไทย ที่กำลังผจญกับภัยคอร์รัปชันอย่างหนักหน่วงในขณะนี้

ผมต้องขอใช้คำแรงเช่นนี้ เพราะคิดว่าไทยมาถึงจุดวิกฤตแล้ว เมื่อผู้มีอำนาจและหน้าที่สำคัญในบ้านเมืองกลับทุจริตเสียเอง ไม่เพียงองค์กรใหญ่ๆ ในระบบยุติธรรม ซึ่งก็คือคือตำรวจและอัยการ เท่านั้น แต่ยังลามไปถึงสถาบันที่เคยเป็นที่พึ่ง ที่เคารพนับถือของประชาชน กล่าวคือ พระ ครูและอาจารย์ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่แต่ก่อนเคยทำหน้าที่เป็นผู้นำท้องถิ่น ดูแลทุกข์สุขของประชาชนอย่างใกล้ชิด แต่เมื่อมามีตำแหน่งกันเป็นผู้บริหาร อบต. อบจ. มีงบประมาณให้ใช้อย่างอิสระมากขึ้น กลับใช้จ่ายเงินกันอย่างทุจริต หวังเพื่อให้ได้เงินตอบแทนจากผู้ขายของ และผู้รับเหมา มากกว่าจะเห็นประโยชน์ของท้องถิ่นที่ตนดูแล ทำให้เกิดกรณีทุจริตต่างๆ เช่น จัดซื้อเสาไฟฟ้ากินรี ราคาแพงมาก เอาไปปักไปในท้องทุ่งและถนนที่ไม่มีคนสัญจร ที่สำคัญผู้กระทำการเรื่องนี้ก็ยังไม่มีกฎหมายใดๆ สามารถนำตัวมาลงโทษได้


เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ คุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Better ว่า “เมืองไทยต้องการธรรมาภิบาลมากกว่าประชาธิปไตย” เป็นการแสดงความหมดหวังในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่จริงในเมืองไทย ที่ผู้มีอำนาจจากการเลือกตั้งจำนวนมาก ใช้เงินและกลโกงทุกรูปแบบเพื่อจะได้มีอำนาจเข้ามาโกงกิน เกิดเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ล้มเหลวเพราะปราศจากธรรมาภิบาล

ครั้งนี้ดูเหมือนว่าคุณอานันท์ ในวัย 91 ปี จะพูดแรงกว่าเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ที่ประกาศว่า “ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมมีความห่วงใยเรื่องคอร์รัปชันในเมืองไทยมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา...ปีนี้ผมอายุครบ 80 และเป็นปีแรกที่ผมขอสารภาพด้วยความจริงใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และไม่มีอคติว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมมีความห่วงใยเรื่องคอร์รัปชันในเมืองไทยมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา” คุณอานันท์กล่าวต่อไปว่า “ในอดีตนั้นคอร์รัปชันเป็นเรื่องการให้น้ำชา การให้สินบน การให้ของชำร่วย การช่วยเหลือด้านต่างๆ ระหว่างบุคคลต่อบุคคล หรือระหว่างกลุ่มต่อกลุ่ม ในขณะที่ปัจจุบันนี้ ความลึกลับของการคอร์รัปชันนั้นมีมากมาย ในเรื่องค่าน้ำชาก็ดี การให้สินบนก็ดี การให้ซองขาวก็ดี มันกลายเป็นเรื่องปกติไปอย่างง่ายๆ และเป็นเงินจำนวนไม่มากเท่าไร”

“ปัจจุบันมีผู้เฉลียวฉลาด ต้องเรียกว่า “ฉลาดแกมโกง” มากขึ้นอย่างมากมาย มีการวางยุทธศาสตร์ มีการวางแผนการ สำคัญสุดคือ อันนี้ขอยืมศัพท์ของท่านนายกฯ ที่ท่านใช้บ่อยคือ พวกคอร์รัปชันทั้งหลายเขา “บูรณาการ” กันพร้อมเพรียงหมดแล้ว ไม่ใช่เรื่องของคนต่อคน หรือกลุ่มต่อกลุ่มตอนนี้เป็นเครือข่ายหมด เครือข่ายกลุ่มนักการเมืองพ่อค้านักธุรกิจ สื่อ องค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจ หรือแม้แต่องค์กรอิสระที่รัฐธรรมนูญสร้างขึ้นมาเป็นองค์กรตรวจสอบ สุดท้ายก็เป็นการยึดครองพื้นที่ของประเทศทั้งหมด”

“ทุกพื้นที่ ทุกกิจกรรม ทุกส่วน สมัยนี้ผมต้องใช้คำนี้ มันไม่ใช่เรื่องการโกงกิน ไม่ใช่เรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวงเท่านั้น สมัยนี้เขา “กินเมือง” กันครับ อะไรขวางหน้าซื้อหมด อำนาจเงินเป็นอำนาจที่เรียกว่า sovereign หรืออำนาจสูงสุดแล้ว คนไม่มีค่าแล้ว ถ้าจะมีค่าก็มีค่าว่า ซื้อเท่าไรจึงได้มา 1 แสน 2 แสน 5 ล้าน 100 ล้าน 1,000 ล้าน อันนั้นกลายเป็น “ค่าของคน” ไปแล้ว”

“ขณะที่ความมีจิตใจที่โปร่งใส ความมีจิตใจที่อิสระ ความมีจิตใจที่รักประเทศชาติ และถือเป็นส่วนหนึ่งของประเทศชาติจางหายไปเกือบหมดแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอำนาจผูกขาด อำนาจผูกขาดทางการเมือง ทางเศรษฐกิจทั้งระบบ อันนี้ที่ผมเรียกว่ากินเมือง” (คุณอานันท์ ปันยารชุน กล่าวเมื่อปี 2555)

เช่นนี้แล้วประเทศไทยเรา จะถึง “สิ้นชาติ” หรือไม่ ตามที่ เหงียน เกา กี อดีตนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายของเวียดนามใต้ ก็เคยเล่าไว้ว่า เวียดนามใต้ ที่มีระบบปกครองแบบประชาธิปไตย ต้องสูญสิ้นไปก็เพราะ “ทั้งโกง ทั้งกิน อย่างนั้น ชาติจะอยู่ได้หรือ”

อย่างไรก็ดี ผมอยากขอทิ้งท้ายไว้ว่า ประชาธิปไตย กับ ธรรมาภิบาลนั้น ไม่ใช่ปัจจัยที่อยู่ตรงข้ามกัน การที่เราต้องการเสริมสร้างธรรมาภิบาลให้เข้มแข็งนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องลดทอนคุณภาพของประชาธิปไตยลงมาด้วย และทั้งการมีธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งและประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ จะเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับคอร์รัปชันได้ ดังนั้นทางออกในสถานการณ์ที่ทั้งโกง ทั้งกินของประเทศไทยนี้ น่าจะอยู่ที่การสร้างเสริมทั้งสองปัจจัยนี้ไปพร้อมๆ กันนะครับ


ผศ.ดร. ต่อภัสสร์ ยมนาค

-------------------------

แนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน ตอน ทั้งโกง ทั้งกิน แล้วชาติจะอยู่ได้หรือ

Author

Torplus Yomnak

นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน มือสมัครเล่นพ่อลูกอ่อน และยังมีความหวังกับอนาคตสังคมไทยที่โปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลและการมีส่วนร่วมของประชาชน