ถ้าเราเท่าเทียม เราจะเท่าทัน : เพราะเรื่องเพศมีผลต่อคอร์รัปชัน

21.06.2023

สรุปประเด็น

  • แม้จะมีความพยายามสร้างความเท่าเทียมทางเพศผ่านกระบวนการทางกฎหมาย ความเข้าใจความเท่าเทียมทางเพศที่ต่างออกไปของผู้มีอำนาจ ทำให้ข้อบัญญัติต่าง ๆ ขาดมิติทางเพศที่ละเอียดอ่อนไปได้
  • งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า เพศหญิงมีแนวโน้มการทุจริตน้อยกว่าเพศชาย การมีส่วนร่วมของเพศหญิงในการบริหารงานภาครัฐที่มากขึ้น ทำให้การทุจริตลดลง แต่หากมีโอกาสและอำนาจเท่ากัน ก็อาจทุจริตได้เท่า ๆ กัน
  • การละเลยมิติทางเพศออกจากปัญหาคอร์รัปชันอาจทำให้การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันเป็นไปอย่างไม่ครอบคลุม และอาจรุนแรงขึ้นจากความไม่เข้าใจเรื่องเพศอย่างแท้จริง

"ความเท่าเทียมทางเพศ" คงเป็นคำที่ใครหลาย ๆ คนเคยได้ยิน และอาจพบเห็นมากขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ เดือนแห่งการเฉลิมฉลองให้แก่ความภาคภูมิใจในตัวตน รำลึกถึงการต่อสู้เพื่อสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ และการสร้างสังคมที่ไม่เลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม ความเท่าเทียมได้เกิดขึ้นจริงในสังคมแล้วหรือไม่ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการทุจริตอย่างไร ทำไมถึงทำให้การคอร์รัปชันรุนแรงขึ้น ผู้เขียนจะขอพาทุกคนไปสำรวจมิติทางเพศที่แสนจะ “สำคัญ” แต่อาจถูก “ละเลย” ออกไปจากปัญหาการคอร์รัปชัน


แม้หลายคนจะรู้จักคำว่า "ความเท่าเทียมทางเพศ" แต่ความเข้าใจยังคงแตกต่างกัน บ้างก็เข้าใจว่ามันคือการได้รับสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน บ้างก็ว่าคือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่ทุกคน หากแต่ความเข้าใจของผู้เขียนคือ การที่บุคคลได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมในทุกมิติโดยไร้อคติทางเพศ


ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการทำงาน การเข้าถึงบริการสาธารณสุข หรือการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้ ประเทศไทยได้มีความพยายามสร้างความเท่าเทียมผ่านกระบวนการต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง และมีการออกพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมนี้ได้ จากบทบัญญัติที่

  1. ไม่ระบุคำว่า เพศภาวะ (Gender) หรืออัตลักษณ์ทางเพศ (Gender identity) ในบทบัญญัติ
  2. กระบวนการและบทลงโทษที่ไม่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจน


ซึ่งอาจส่งผลต่อการตีความกฎหมาย ไปจนถึงการคุ้มครองเหยื่อ และลงโทษผู้กระทำความผิด หากมองในมิติของการคอร์รัปชัน งานวิจัยหลาย ๆ ชิ้น ระบุว่า เพศหญิงมีโอกาสที่จะทำการทุจริตน้อยกว่าเพศชาย แต่หากมีอำนาจและโอกาสมากพอก็มีโอกาสที่จะทุจริตเท่า ๆ กัน โดยงานวิจัยของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุว่า ไม่ว่าเพศใดก็มีแนวโน้มทุจริตได้เท่า ๆ กันขึ้นอยู่กับบริบทและวัฒนธรรมของสังคมนั้น ๆ แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า อำนาจในการกำหนดทิศทางของประเทศหรือการบริหารงานภาครัฐส่วนใหญ่มักตกอยู่ในมือของ “เพศชาย” จึงไม่แปลกที่จะเกิดภาพจำว่า “เพศชาย” มักจะโกงมากกว่าเพศหญิง ประกอบกับงานวิจัยอีกหลายส่วนที่ระบุว่า สัดส่วนของเพศหญิงในองค์กรที่มากขึ้น มีแนวโน้มที่จะทำให้การทุจริตลดลง


ผู้เขียนมีความเห็นว่า หนึ่งในสาเหตุที่เพศหญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศมีแนวโน้มที่จะทุจริตน้อยกว่าเพศชายอาจเป็นเพราะบทลงโทษที่เกิดขึ้นกับพวกเขานั้นรุนแรงกว่าเพศชายมาก ภาพของสังคมที่ยังมองทุกคนไม่เท่ากัน ทำให้เกิดความคาดหวังต่อคนแต่ละเพศไม่เท่ากัน เพศหญิงยังคงถูกคาดหวังให้เป็นเพศอ่อนโยน มีความเห็นอกเห็นใจ เพศหลากหลายก็ยังถูกคาดหวังให้กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็น มีความสนุกสนาน และทั้งหมดยังคงถูกกดดันและคาดหวังให้ประสบความสำเร็จเพื่อสร้างโอกาสทางสังคมที่เท่าเทียมกับเพศชาย

ความคาดหวังเหล่านี้ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเพศที่ตามมาด้วยภาพจำที่ว่า ปัญหาคอร์รัปชันนั้นเกิดจากเพศชาย ซึ่งอาจไม่เป็นเช่นนั้นหากทุกเพศมีความเท่าเทียมกัน


ผู้เขียนขอยกตัวอย่างให้ทุกคนเห็นภาพง่ายขึ้น จากกรณีที่ “ครูเคท” ถูกคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยตัดสินว่าไม่สมควรว่าจ้าง เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่ครูเคทได้ยื่นหนังสืออุทธรณ์มติจนนำมาสู่การยื่นฟ้องศาลปกครอง และชนะคดีในเวลาต่อมา ทั้งนี้ หลายคนอาจมองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเพศ แต่หากลองเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่ครูเพศชายกระทำความผิดต่าง ๆ แต่กลับมีบทลงโทษเป็นการย้ายสถานศึกษา หรือการบอกเลิกสัญญา อีกทั้งภาพจำของสังคมยังจดจำและตอกย้ำความผิดพลาดของเพศหญิงและเพศหลากหลายเป็นช่วงเวลายาวนานกว่าเพศชายมาก และทำให้เห็นว่า สังคมไทยยังคงมีการเลือกปฏิบัติหรือการใช้อำนาจตัดสินบนอคติทางเพศ


จากข้อมูลข้างต้นและบริบทของสังคมไทย ผู้เขียนขอชวนทุกคนมาย้อนคิดไปพร้อม ๆ กันทีละขั้นตอน เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมการ “ละเลย” มิติทางเพศจะทำให้ปัญหาคอร์รัปชันรุนแรงขึ้น เริ่มจากความเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมทางเพศที่ถูกตีความต่างกันออกไป ทำให้การออกระเบียบและกฎหมายไม่เป็นไปอย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยระบอบ “ชายเป็นใหญ่” ที่ผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ยังคงเป็นเพศชาย    แม้จะมีงานวิจัยต่าง ๆ ที่พบว่าสัดส่วนของเพศหญิงในองค์กรที่มากขึ้น ทำให้มีแนวโน้มในการทุจริตลดลง แต่หากมีโอกาสและอำนาจมากพอก็มีแนวโน้มที่จะทุจริตพอกัน และแม้จะมีความพยายามในการสร้างความเท่าเทียมอยู่บ่อยครั้ง แต่ภาพจำและความคาดหวังของสังคมก็ยังคงผูกรัดกับเรื่อง “เพศ” อย่างเหนียวแน่น ทำให้การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ขาดมิติทางเพศไป รวมถึงปัญหาคอร์รัปชันด้วยเช่นกัน


ความเข้าใจอย่างไม่ทั่วถึง และการยึดติดในค่านิยมแปลก ๆ นี้กำลังเกิดขึ้นในสังคมของเรา ทั้งนี้ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะโจมตีความพยายามที่เกิดขึ้น แต่อยากชวนให้ทุกคนได้เห็นถึงความสำคัญของเพศและการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันที่เชื่อมโยงผ่านบรรทัดฐานและวัฒนธรรมของสังคม อันจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างสังคมที่เรา “เท่าเทียม” กันในทุกมิติ ไม่เว้นแม้กระทั่งการแก้ไขปัญหา “คอร์รัปชัน”


สุดท้ายนี้ ผู้เขียนหวังอย่างยิ่งว่า

ความเท่าเทียมจะเบ่งบาน คอร์รัปชันจะร่วงโรยไป


------------------------


ลงมือสู้โกง หนังสือพิมพ์แนวหน้า ตอน ถ้าเราเท่าเทียม เราจะเท่าทัน : เพราะเรื่องเพศมีผลต่อคอร์รัปชัน


Author

Wasupol Yodket

ผู้ประสานงานสามสิบทิศที่เป็นทั้งดีไซน์เนอร์ รีเสิร์ชเชอร์ และนักฟีดแบคด้วยท่าทีที่เป็นมิตร แต่เบื้องหลังคือขมิ้นกับปูน