ประชาชน อำนาจอธิปไตย รัฐธรรมนูญไทยมาตรา 3
27.08.2025
สรุปประเด็น
บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2560 แม้ประชาชนจะไม่ได้ใช้อำนาจโดยตรงในทุกเรื่อง แต่การมีส่วนร่วมหลักเกิดขึ้นผ่าน การเลือกตั้ง เพื่อเลือกผู้แทนเข้ามาเป็นตัวแทน (สส.) ใช้อำนาจอธิปไตยในสภา ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและมีความเป็นอิสระตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ แม้ปัจจุบันประชาชนจะไม่สามารถเข้าชื่อถอดถอน สส. ได้โดยตรงเหมือนอดีต แต่ยังคงมีช่องทางตรวจสอบและมีส่วนร่วมทางการเมือง เช่น ผ่านเว็บไซต์ภาคประชาชน (Parliamentwatch, Politic Data) การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบต่าง ๆ บทความนี้ยังเน้นย้ำอีกว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองฝ่ายเดียว แต่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของทุกคน การใช้สิทธิและอำนาจของตนเองอย่างต่อเนื่องจึงสำคัญ เพื่อให้คำว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน” ไม่ใช่เพียงประโยคในรัฐธรรมนูญ แต่สะท้อนถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชน
ในวันที่การเมืองไทยกำลังคุกรุ่น หน้าสื่อเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ว่าจะจากทางศาล คณะรัฐมนตรี หรือรัฐสภา มีคำสั่งถอดถอน คำสั่งยุบพรรค การอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือความคืบหน้าในนโยบายต่าง ๆ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นหรือไม่เป็นดังที่ใจเราหวัง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนอย่างเราล้วนได้รับผลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเหล่านั้น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมทั้งสิ้น
ในตอนนั้นผู้เขียนก็มีคำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมา “ในวันที่การเมืองมันชุลมุนวุ่นวายแบบนี้ ตัวเราเองทำอะไรได้บ้างนะ หรือเราเคยมีส่วนร่วมตัดสินใจทำให้เรื่องเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า?”
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 วางหลักว่า ‘อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ’
แล้วอำนาจอธิปไตยที่เขาบอกว่าเรามีมันคืออะไรกันนะ ?
อำนาจอธิปไตย คืออำนาจสูงสุดที่เด็ดขาดไม่ถูกจำกัดโดยสิ่งใด โดยใครจะเป็นผู้ใช้อำนาจนี้ก็ขึ้นอยู่ระบอบการปกครองในแต่ละประเทศ จึงนำมาสู่คำที่เราคุ้นเคยกันอย่าง ระบอบประชาธิปไตย (Democracy) ซึ่งมาจากคำว่าประชา ประกอบกับ อธิปไตย หมายถึงการปกครองโดยประชาชน โดยอำนาจสูงสุดในการปกครองจะมาจากประชาชนนั่นเอง
ประชาชนอย่างเราผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดไปใช้อำนาจนั้นตอนไหนบ้าง ซึ่งก็คือการใช้ผ่านกระบวนการ การเลือกตั้ง เป็นการเลือกผู้แทนเข้ามาเป็นตัวแทนในการใช้อำนาจอธิปไตยของเรา เป็นการใช้ประชาธิปไตยทางอ้อม (Representative Democracy) นั่นเอง ดังนั้นประชาชนทุกคนจึงไม่ใช่ผู้ที่จะขึ้นไป บริหารงบประมาณ ออกกฎหมาย หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจเอง แต่เป็นการเลือกผู้แทน คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้เป็นผู้แสดงออกถึงเจตจำนง ความต้องการของประชาชน
หน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ถูกพูดถึงใน บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ว่า ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย และต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ’ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น จะทำงานเพื่อเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่เพียงประชาชนในเขตที่เลือกตั้งเท่านั้น และตัวสส.เองนั้นจะมีเอกสิทธิ์และความคุ้มกันเฉพาะสำหรับ สส. เพื่อรับประกันความเป็นอิสระของสส.ในการปฏิบัติหน้าที่ได้มีอิสระ โดยไม่มีการถูกกดดันและการคุกคาม ในระหว่างการประชุมสภา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเป็นไปภายใต้ของเขตของรัฐธรรมนูญ เมื่อเป็นดังนั้นหากวันหนึ่งความวุ่นวาย ที่เราพูดถึงกันในช่วงแรกเกิดจาก สส. ที่ประชาชนเลือกเป็นตัวแทนนั้นทำหน้าที่หรือแสดงเจตจำนงของตน แตกต่างจากที่เคยเสนอตัวไว้ แบบนี้ประชาชนอย่างเรา ๆ จะทำอะไรได้บ้าง ?
ความถูกใจหรือไม่ถูกใจกับผลทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลซึ่งมีพื้นฐานมาจากความคิด ประสบการณ์ และอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกันไปสิ่งที่บางคนมองว่าใช่ อาจไม่ใช่สำหรับอีกคนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับมุมมองและแนวคิดที่แต่ละคนยึดถือ หากพูดถึงความถูกต้องก็คงต้องย้อนกลับไปตามบทบาทหน้าที่ของสส. ที่ถูกบัญญัติไว้ที่ได้กล่าวกันไปข้างต้น แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเมื่อเกิดสถานการณ์สมมุติดังกล่าวขึ้นจริง ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ประชาชนจะไม่สามารถรวบรวมรายชื่อเพื่อถอดถอน สส. ได้ ต่างจากในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ
‘มาตรา 271 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ให้อำนาจประชาชนไม่น้อยกว่า 20,000 คน ในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่งได้ด้วยวิธีเดียวกับการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย หรือตาม รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งต้องใช้ 50,000 รายชื่อ ทำให้การรวบรวมชื่อเพื่อถอดถอนสส. ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแม้จะสร้างแรงกดดันทางสังคมได้ แต่ไม่มีผลในทางกฎหมาย’ (ILAW./2019./รัฐธรรมนูญ 60 ไม่ให้อำนาจประชาชนเข้าชื่อถอดถอน สส. สว. เหมือนยี่สิบปีก่อน) อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้อำนาจประชาชนที่รวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอกฎหมาย กล่าวหา ป.ป.ช. หรือเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่ก็ยังเป็นคำถามว่าในส่วนการถอดถอน สส. ทำไมประชาชนถึงถูกจำกัดอำนาจในจุดนี้ไปกัน
แม้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันจะไม่ได้เปิดช่องให้ประชาชนเข้าชื่อถอดถอน สส. ได้โดยตรงเหมือนในอดีต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอำนาจของประชาชนจะสิ้นสุด ประชาชนยังคงเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และยังมีช่องทางในการตรวจสอบผู้แทนที่ตนเลือกเข้าไปไม่ว่าจะผ่านเว็บไซต์จากภาคประชาชน เช่น Parliamentwatch เพื่อดูประวัติการทำงานหรือการออกเสียงในสภาของสส. , Politic data ซึ่งรวบรวมข้อมูลความเชื่อมโยงระหว่างพรรคการเมือง สส. บัญชีทรัพย์สินและโครงการรัฐต่าง ๆ
หรือจะเป็นการแสดงออกโดยการใช้สิทธิตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เช่น การเข้าชื่อเสนอกฎหมายหรือการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการเคลื่อนไหวทางสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ล้วนเป็นกลไกสำคัญที่สะท้อนถึงความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย เพราะการเมืองไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองเพียงฝ่ายเดียว แต่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนทุกคน ตั้งแต่ราคาสินค้า การศึกษา ไปจนถึงนโยบายต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน หากเราละเลยสิทธิและอำนาจของตนเองที่มีไป ก็อาจทำให้อำนาจอธิปไตยไม่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง ดังนั้นอย่าปล่อยให้คำว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน” เป็นเพียงประโยคหนึ่ง ในรัฐธรรมนูญต่อไป
ที่มาภาพ :
------------------------------------
บทความคิดด้วยพลเมือง ตอน ประชาชน อำนาจอธิปไตย รัฐธรรมนูญไทยมาตรา 3
โดย อันดา ซ่อนกลิ่น HAND Social Enterprise
Author
Anda Songlin
ผู้ประสานงานโครงการตัวจิ๋ว ที่มาไขว่คว้าความฝัน ถ้าไม่เด่นไม่ดังจะไม่หันหลังกลับไป