รู้ทันคอร์รัปชันด้วยวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แค่ศีลธรรม

02.07.2025

สรุปประเด็น

บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การต่อต้านคอร์รัปชันในไทยต้องก้าวข้ามการเน้นเพียง “ความดี” และ “จริยธรรม” โดยหันมาใช้วิทยาศาสตร์และข้อมูลเชิงพฤติกรรมเข้าแก้ไข เพราะคนโกงไม่ได้เกิดจากความไม่มีศีลธรรมเสมอไป แต่เพราะระบบเปิดช่องให้โกงง่ายและคุ้มค่าที่จะเสี่ยง ตัวอย่างจากต่างประเทศแสดงให้เห็นว่าการเพิ่มการตรวจสอบและใช้เทคโนโลยีช่วยลดโกงได้จริง ขณะที่การอบรมจริยธรรมแบบเดิมขาดการติดตามผลและวัดพฤติกรรมอย่างเป็นระบบ การใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์จึงเป็นกุญแจสำคัญในการออกแบบระบบที่ทำให้การโกงไม่คุ้มค่า และแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้อย่างยั่งยืน สุดท้ายการเปลี่ยนบรรทัดฐานทางสังคมและลงทุนในระบบสอบสวนกับการสอนความซื่อสัตย์ตั้งแต่เด็กเป็นสิ่งจำเป็น หากเรายอมรับวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาอื่นๆ ก็ควรเปิดโอกาสให้วิทยาศาสตร์ช่วยแก้คอร์รัปชันเช่นกัน

รู้ทันคอร์รัปชันด้วยวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แค่ศีลธรรม


เมื่อความดีไม่พอหยุดโกง : วิทยาศาสตร์ไขคำตอบทำไมการต่อต้านคอร์รัปชันยังล้มเหลว

สังคมไทยพูดเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันมานานหลายทศวรรษ เรามีการปลูกฝังคุณธรรมในหลักสูตรการเรียน การอบรมข้าราชการก่อนเข้ารับตำแหน่ง และการจัดกิจกรรมรณรงค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คำถามคือ เหตุใด “ความดี” เหล่านี้จึงยังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการโกงในระบบราชการ การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศได้จริง


นี่คือคำถามที่ได้รับการตอบจากมุมมองแบบ “วิทยาศาสตร์” อย่างน่าทึ่งในการบรรยายหัวข้อ “The Science of Corruption and Anti-Corruption” โดย Professor Robert Gillanders ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จาก Dublin City University และผู้อำนวยการร่วมของ DCU Anti-Corruption Research Centre ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ โดยความร่วมมือระหว่าง ศูนย์วิทยาการอาชญากรรม และ ศูนย์ความรู้เพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน (KRAC)


คนไม่ได้โกงเพราะเลว แต่เพราะระบบเปิดช่องให้โกง

Gillanders ไม่พูดถึงศีลธรรมในฐานะคำสอน แต่พูดถึง พฤติกรรมมนุษย์ ในฐานะสิ่งที่สามารถเข้าใจและเปลี่ยนแปลงได้ ผ่านการเก็บข้อมูล การตั้งสมมติฐาน การทดสอบ และการวัดผล เหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์


เขาเสนอว่า เราต้องเลิกคิดว่าคนโกงเพราะ “ไม่มีจริยธรรม” และเริ่มคิดว่า คนโกงเพราะ “ระบบเปิดช่องให้โกงได้ง่าย และคุ้มค่าที่จะเสี่ยง” ตัวอย่างจากอินโดนีเซียแสดงให้เห็นว่า เพียงแค่เพิ่มความถี่ของการสุ่มตรวจโครงการก่อสร้างในระดับท้องถิ่น การทุจริตสามารถลดลงได้ถึง 8% โดยไม่ต้องออกกฎหมายใหม่หรืออบรมจริยธรรมเพิ่ม เช่นเดียวกับในโรมาเนีย ที่การติดตั้งกล้องในห้องสอบสามารถลดการโกงได้ในระดับประเทศ


ลดโกงด้วยหลักเศรษฐศาสตร์ : ตัดผลประโยชน์ เพิ่มความเสี่ยง

ในทางเศรษฐศาสตร์ การคอร์รัปชันถูกวิเคราะห์ผ่านโมเดลที่เรียบง่ายที่จับต้องได้จริง นั่นคือ มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผล ที่ตัดสินใจบนพื้นฐานของ “ผลได้” กับ “ความเสี่ยงที่จะถูกจับได้” ดังนั้นหากเราต้องการลดการทุจริต ไม่ใช่เพียงต้องบอกว่า “อย่าทำ” แต่ต้อง “ทำให้ไม่คุ้มที่จะทำ” ด้วยการออกแบบระบบที่ลดผลประโยชน์จากการโกง และเพิ่มโอกาสในการถูกลงโทษ


คำถามที่ไม่เคยถูกถาม: หลังอบรมจริยธรรม พฤติกรรมเปลี่ยนไปไหม?

ในประเทศไทย เรามักกล่าวโทษ “จริยธรรมของคน” ทุกครั้งที่เกิดคดีคอร์รัปชัน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อำนาจในทางมิชอบ หรือผู้บริหารที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน การตอบสนองต่อเหตุการณ์เหล่านี้มักวนกลับไปที่การจัด “อบรมจริยธรรม” ให้บุคลากรในองค์กร แต่สิ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงคือ เราไม่มีระบบที่ติดตามผลหลังการอบรมเหล่านี้อย่างเป็นระบบ ไม่รู้ว่าผู้เข้าร่วมอบรมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือทัศนคติหรือไม่ และไม่มีการออกแบบตัวชี้วัดเชิงพฤติกรรมที่สามารถสะท้อนผลกระทบได้จริง


ในหลายหน่วยงาน การอบรมกลายเป็นเพียง “พิธีกรรมเชิงระบบ” ที่ทำซ้ำปีแล้วปีเล่า เพื่อให้ผ่านเกณฑ์การประเมินภายใน โดยไม่ได้ตั้งคำถามว่า เนื้อหาและวิธีการที่ใช้สอดคล้องกับบริบทหรือแรงจูงใจของผู้เข้าอบรมหรือไม่ ขณะเดียวกันก็ไม่มีการเก็บข้อมูลก่อน-หลัง หรือวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (control group) ตามหลักวิธีวิทยาของการประเมินผลสมัยใหม่ (impact evaluation) ที่นานาชาติใช้กันอย่างแพร่หลาย


หยุดสอนแบบเดิม เริ่มใช้ข้อมูลจริง: สูตรใหม่ของการต้านโกง

ตรงกันข้ามกับวิธีการแบบเดิม ข้อมูลเชิงประจักษ์กำลังกลายเป็นหัวใจของการต่อต้านคอร์รัปชันยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ในประเทศตะวันตก แต่รวมถึงในประเทศไทยด้วย ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ โครงการ “ACT Ai” ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์วิเคราะห์ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐหลายสิบล้านรายการ เพื่อตรวจจับรูปแบบที่ผิดปกติและนำเสนอข้อมูลต่อสาธารณะให้สามารถตรวจสอบกันเองได้ โดยไม่ต้องรอให้ใครมาบอกว่า “นี่คือสิ่งไม่ดี” เพราะข้อมูลมันพูดได้ด้วยตัวเอง


ข้อมูลที่ ACT Ai สร้างขึ้น ไม่เพียงแต่ช่วยภาคประชาชนและสื่อมวลชนใช้ตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนว่า หน่วยงานใดมีความเสี่ยงเชิงระบบ และควรได้รับการสนับสนุนในเชิงนโยบายอย่างไร เช่น อาจต้องปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบภายใน หรือออกแบบคู่มือจัดซื้อจัดจ้างที่ลดช่องโหว่ลง


ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์เช่นนี้ ยังอาจนำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อีก เช่น นำไปใช้ประเมินผลนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันที่มีอยู่ หากหน่วยงานใดจัดอบรมจริยธรรมปีละ 3 ครั้ง แต่ยังคงพบ “ความเสี่ยงเชิงพฤติกรรม” แบบเดิมปรากฏอย่างต่อเนื่องในข้อมูลจัดซื้อ ก็อาจต้องตั้งคำถามว่า กิจกรรมที่ทำอยู่ส่งผลจริงหรือไม่ หรือควรปรับเปลี่ยนแนวทางให้ตอบโจทย์พฤติกรรมมนุษย์มากขึ้น เช่น การใช้การเรียนรู้แบบ peer-based หรือการสื่อสารแบบ behavioural nudging แทนการบรรยายทางเดียว


คอร์รัปชันแพร่ได้เหมือนไวรัส เมื่อสังคมไม่ต่อต้านและรัฐไร้ความน่าเชื่อถือ

Gillanders ยังชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานทางสังคม (social norms) คืออีกหนึ่งกุญแจสำคัญ การศึกษาที่โด่งดังชิ้นหนึ่งพบว่า นักการทูตจากประเทศที่มีระดับคอร์รัปชันสูงมีแนวโน้มจะฝ่าฝืนกฎจราจรในนิวยอร์กสูงกว่าประเทศอื่นอย่างมาก ทั้งที่ไม่มีบทลงโทษใด ๆ พฤติกรรมนี้ไม่ได้สะท้อนนิสัยเฉพาะบุคคล แต่สะท้อนวัฒนธรรมองค์กรที่คนเหล่านั้นเติบโตมา หากสังคมรอบตัวทำผิดแล้วไม่ถูกลงโทษ การทำผิดก็กลายเป็น “เรื่องธรรมดา” นี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่า “กับดักความชอบธรรม” (legitimacy trap) ซึ่งเมื่อความไว้เนื้อเชื่อใจต่อรัฐลดลง ประชาชนก็ยิ่งไม่ให้ความร่วมมือ เจ้าหน้าที่รัฐก็ยิ่งไร้อำนาจ และคอร์รัปชันก็ยิ่งลุกลาม


วิทยาศาสตร์ไม่ใช่แค่ในห้องแล็บ แต่ใช้แก้คอร์รัปชันได้จริง

ท้ายที่สุด Gillanders ฝากข้อคิดไว้ว่า หากเขาได้บริหารงานต่อต้านคอร์รัปชันในไอร์แลนด์เพียงหนึ่งวัน สิ่งที่เขาจะทำคือเพิ่มงบสำหรับการสอบสวนคดีทุจริต ลงทุนในระบบการฝึกอบรม และเปิดสอนวิชาความซื่อสัตย์ตั้งแต่ในโรงเรียนประถม นี่ไม่ใช่ความเพ้อฝัน แต่คือสิ่งที่มี “หลักฐานเชิงประจักษ์” รองรับแล้วจากหลากหลายประเทศ


ประเทศไทยจะเดินหน้าเรื่องนี้อย่างไร? เราคงต้องเริ่มจากการยอมรับว่า “ความดี” เพียงอย่างเดียวไม่พอ เราต้องออกแบบระบบที่ทำให้ “ความดี” นั้นมีแรงจูงใจ มีการเสริมพฤติกรรมในทางที่ถูกต้อง และมีข้อมูลชัดเจนรองรับ ไม่ต่างจากการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องทดลอง วัดผล และแก้ไขซ้ำจนกว่าจะได้ผล


หากเราเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ในการรักษาโรคระบาดหรือสร้างนวัตกรรมอื่น ๆ ได้ การหยิบ “วิทยาศาสตร์” มาใช้กับปัญหาคอร์รัปชันก็ควรได้รับโอกาสเดียวกัน


--------------------------

บทความแนวหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน ตอน : รู้ทันคอร์รัปชันด้วยวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แค่ศีลธรรม

โดย : รศ.ดร.ต่อตระกูล - รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค

SHARE:

TAG ที่เกี่ยวข้อง:

Open DataAnti-CorruptionACTAi

Author

Torplus Yomnak

นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน มือสมัครเล่นพ่อลูกอ่อน และยังมีความหวังกับอนาคตสังคมไทยที่โปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลและการมีส่วนร่วมของประชาชน