ความร่วมมือข้ามพรมแดน: กุญแจสำคัญสู่การต่อต้านคอร์รัปชันในอาเซียน
03.09.2025
สรุปประเด็น
ในยุคที่ การทุจริตมีความซับซ้อนและไร้พรมแดน ประเทศใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ ล่าสุดในงาน การประชุมนานาชาติว่าด้วยนวัตกรรมต้านคอร์รัปชันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดโดย HAND Social Enterprise ร่วมกับหน่วยงานระดับประเทศและนานาชาติ
เวทีนี้ได้กลายเป็นศูนย์รวมของนวัตกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันที่หลากหลาย เช่น เวที Open Data นำเสนอฐานข้อมูล PEPs ระดับภูมิภาค ยกระดับการตรวจสอบบุคคลทางการเมืองและความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เวทีจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แลกเปลี่ยนระบบ e-Procurement, Open Contracting, Red Flags ระหว่างไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เวที Judicial Integrity ถกประเด็นความเหลื่อมล้ำและการแทรกแซงในกระบวนการยุติธรรม พร้อมข้อเสนอการใช้ AI อย่างมีธรรมาภิบาล บทเรียนจากการประชุมครั้งนี้ตอกย้ำว่า
“ไม่มีประเทศใดแก้คอร์รัปชันได้ลำพัง” แต่ต้องอาศัย ความร่วมมือระหว่างประเทศ ข้อมูลเปิด และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
เมื่อเอ่ยถึงปัญหาคอร์รัปชัน หลายคนอาจนึกถึงการติดสินบนในประเทศ โครงการรัฐที่มีการโก่งราคา หรือการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง แต่แท้จริงแล้ว การทุจริตในโลกยุคใหม่มีความซับซ้อนกว่านั้นมาก และที่สำคัญคือ มันไม่หยุดอยู่ภายในพรมแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง
นี่คือสาระสำคัญที่สะท้อนจาก การประชุมนานาชาติว่าด้วยนวัตกรรมต้านคอร์รัปชันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยความร่วมมือของ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ), Chandler Institute of Governance (CIG), World Justice Project (WJP), สํานักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ HAND Social Enterprise รวมทั้งภาคประชาสังคม นักวิชาการ และผู้แทนจากหลายประเทศในภูมิภาค
เวทีนี้ถือเป็น “จุดเชื่อม” ของหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านคอร์รัปชัน ตั้งแต่ผู้กำหนดนโยบาย นักกฎหมาย ข้าราชการฝ่ายยุติธรรม นักวิจัย ไปจนถึงองค์กรภาคประชาชนและสื่อมวลชนที่ทำงานด้านการสืบสวนสอบสวนเชิงลึก ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องว่า “ไม่มีประเทศใดสามารถแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันได้เพียงลำพัง” ความร่วมมือระหว่างประเทศคือหัวใจสำคัญ
หนึ่งในเวทีที่ได้รับความสนใจมากคือ เวที Open Data เพราะแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่ชัดเจนตลอดสามปีที่ผ่านมา จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างนักวิจัยและภาคประชาสังคม ปัจจุบันได้ก้าวสู่ โครงการจัดทำฐานข้อมูลบุคคลทางการเมือง (Politically Exposed Persons – PEPs Database) ระดับภูมิภาค ภายใต้การสนับสนุนของ UNODC
จากมาเลเซีย เราได้เห็นความพยายามจัดทำมาตรฐานข้อมูลที่สอดคล้องกับ Financial Action Task Force (FATF) เพื่อระบุความสัมพันธ์เชิงอำนาจของนักการเมือง รวมถึงการเชื่อมโยงกับข้อมูลผู้ถือผลประโยชน์ที่แท้จริง (Beneficial Ownership) เพื่อเปิดเผยเครือข่ายผลประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ ส่วนประเทศไทยมีการทำงานโดยภาคประชาสังคมอย่าง WeVis และ HAND Social Enterprise ที่ลงมือเปลี่ยนข้อมูล PDF และเอกสารสแกนที่กระจัดกระจาย ให้กลายเป็นชุดข้อมูลที่สื่อมวลชนและประชาชนสามารถนำไปใช้ตรวจสอบได้จริง ขณะที่อินโดนีเซีย แม้จะยังขาดนิยาม PEPs ที่ชัดเจนในระดับประเทศ แต่ก็มีภาคประชาสังคมเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งและพัฒนาแพลตฟอร์มตรวจสอบทางการเมือง
แม้ยังมีอุปสรรคใหญ่ เช่น ข้อมูลที่ถูกปิดกั้น ความไม่สม่ำเสมอของมาตรฐาน และต้นทุนการเข้าถึง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นชี้ชัดว่า เมื่อหลายประเทศจับมือกัน ข้อมูลที่เคยกระจัดกระจายและเข้าถึงยากสามารถถูกเปลี่ยนให้เป็น “ทรัพยากรสาธารณะ” ของภูมิภาคได้
อีกเวทีสำคัญคือ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งเป็น “จุดเสี่ยง” ที่เกิดการทุจริตมากที่สุด การแลกเปลี่ยนจากฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย แสดงให้เห็นว่าทุกประเทศต่างพัฒนาระบบของตนเอง เช่น e-Procurement, Open Contracting Data Standard, ระบบแจ้งเตือนความเสี่ยง (Red Flags) และการเปิดเผยข้อมูลเจ้าของผลประโยชน์
แต่ผู้เข้าร่วมต่างเห็นพ้องกันว่า หากระบบเหล่านี้ถูกพัฒนาและใช้งานในแต่ละประเทศแบบแยกส่วน ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้ เพราะการทุจริตในโครงการใหญ่ ๆ มักเกี่ยวข้องกับบริษัทและเครือข่ายข้ามชาติ ดังนั้น การสร้างมาตรฐานร่วมและการเปิดเผยข้อมูลในระดับภูมิภาค จึงเป็นเงื่อนไขที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
การประชุมยังมีเวทีที่เน้น เยาวชนและการศึกษา เพื่อสร้าง “วัฒนธรรมความซื่อสัตย์” ให้หยั่งรากลึกตั้งแต่ต้น การสอนวิชาจริยธรรมในโรงเรียนอาจยังไม่พอ หากไม่ได้เปิดพื้นที่ให้เยาวชนลงมือทำจริง เสียงจากผู้แทนเยาวชนในหลายประเทศยืนยันว่า คนรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นเพียง “ผู้นำในอนาคต” แต่กำลังเป็น “ผู้นำในวันนี้”
ที่สำคัญ หากเครือข่ายเยาวชนจากแต่ละประเทศได้เชื่อมโยงกันมากขึ้น ก็จะกลายเป็นพลังร่วมระดับภูมิภาค ที่สามารถสร้างแรงกดดันและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าการเคลื่อนไหวเพียงลำพัง
เวที Judicial Integrity ตอกย้ำว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำและการแทรกแซงในกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เรื่องเฉพาะของประเทศใด แต่เป็นปัญหาทั่วทั้งภูมิภาค ตั้งแต่ดุลยพินิจของอัยการ การขาดความเป็นอิสระของผู้พิพากษา ไปจนถึงความไม่เสมอภาคในการให้ประกันตัว
ตัวอย่างจากไทยคือการทดลองใช้ AI ประเมินความเสี่ยงในการให้ประกันตัว ซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แต่ก็ยังมีข้อกังวลเรื่องความเอนเอียงของอัลกอริทึมและการพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป ข้อสรุปจากเวทีนี้ชัดเจนว่า เทคโนโลยีสามารถช่วยได้ แต่ไม่อาจแทนที่มนุษย์ได้ ความเป็นธรรมของระบบยุติธรรมต้องอาศัยทั้งนวัตกรรมและการกำกับดูแลที่เคารพสิทธิมนุษยชน
เมื่อพิจารณาทุกเวทีร่วมกัน ข้อสรุปที่เด่นชัดที่สุดคือ การทุจริตเป็นปัญหาร่วมที่ไม่มีประเทศใดแก้ไขได้ลำพัง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ข้อมูลเปิด การปฏิรูปกฎหมาย หรือการปลูกฝังวัฒนธรรมความซื่อสัตย์ ล้วนจำเป็นต้องเชื่อมโยงและเสริมพลังกันในระดับภูมิภาค
การประชุมครั้งนี้จบลงด้วยการนัดหมายต่อในวันถัดมา เพื่อสรุปบทเรียนและกำหนดทิศทางความร่วมมือในอนาคต นี่ไม่ใช่เพียงการประชุมหนึ่งวัน แต่คือ จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลต่อทั้งภูมิภาค
หากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องการก้าวไปสู่ภูมิภาคที่โปร่งใสและยุติธรรม “ความร่วมมือระหว่างประเทศคือกุญแจสำคัญที่สุด”
ที่มาภาพ :
- https://www.facebook.com/photo/?fbid=1311168517681164&set=pcb.1311174781013871
--------------------------------------------
บทความต่อต้านคอร์รัปชัน ตอน ความร่วมมือข้ามพรมแดน: กุญแจสำคัญสู่การต่อต้านคอร์รัปชันในอาเซียน
โดย : รศ.ดร.ต่อตระกูล - รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
Author
Torplus Yomnak
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชัน มือสมัครเล่นพ่อลูกอ่อน และยังมีความหวังกับอนาคตสังคมไทยที่โปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลและการมีส่วนร่วมของประชาชน